สุวรรณภูมิสโมสร/ศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2555
ประภัสสร์ ชูวิเชียร

ไม่นานมานี้มีรายงานการค้นพบโบราณสถานบนแนวเทือกเขาหลังเมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี คือเขาพระ เขารางกะบิด เขารางกะเบิด และพุหางนาค มีลักษณะที่ใช้แผ่นหินขนาดเล็กเรียงซ้อนกันเป็นแท่นสูง กระจายตัวตามยอดเขาสูงต่ำ  ซึ่งกลุ่มโบราณสถานดังกล่าวน่าจะสร้างขึ้นเนื่องในความเชื่อเรื่องภูเขาศักดิ์สิทธิ์และหินตั้งซึ่งอาจมีมาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ที่สำคัญได้พบบางแห่งที่เป็นสถูปเจดีย์เนื่องในพุทธศาสนาเพราะมีร่องรอยการก่อด้วยอิฐมีแกลบข้าวปนแบบอิฐสมัยทวารวดีด้วย
ผู้คนทั่วทั้งโลกสมัยดึกดำบรรพ์นานมาแล้วนับถือภูเขาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นแหล่งต้นน้ำ อาหาร ทรัพยากร ยารักษาโรค และยังมีป่าไม้ที่อยู่อาศัยของสิงสาราสัตว์ที่ลึกลับอันตราย และมีหลายกรณีที่ภูมิประเทศแปลกตาเกิดเป็นเพิงผาหินรูปร่างต่างๆ ล้วนแต่ชวนให้น่าพิศวง
ความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของภูเขานี้ เป็นส่วนหนึ่งของการนับถือหินก้อนใหญ่ (Megalith) ซึ่งมนุษย์ในอดีตถือว่าเป็นสิ่งควรบูชา หินใหญ่นี้หากเกิดตามธรรมชาติมักได้รับการนับถือว่าเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม มีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงแม้มนุษย์มีศาสนาขึ้นยังถือว่าหินใหญ่บางประเภทเป็นตัวแทนของเทพเจ้า เช่นความเชื่อเรื่องสวยัมภูวลึงค์ (Svayambhuvalinga) หรือก้อนหินธรรมชาติขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชาย เป็นที่นับถือของชาวฮินดูว่าคือรูปของพระศิวะ ซึ่งในกรณีของภูเขาลูกโดดที่มีรูปร่างเช่นนี้ก็ถูกใช้เป็นสวยัมภูวลึงค์ได้เช่นกัน มีตัวอย่างชัดเจนคือลิงคบรรพต หรือภูเก้า อันเป็นสถานที่ตั้งของปราสาทวัดภูในตอนใต้ของลาว
มนุษย์ไม่ได้หยุดความเชื่อไว้เฉพาะภูเขาหรือก้อนหินใหญ่ แต่ยังได้นำเอาก้อนหินที่ตัดหรือแตกเป็นแท่งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาจัดวาง ทั้งในรูปของการปักตั้งหรือเรียงซ้อนกันจนเป็นรูปร่างผิดจากธรรมชาติ เพื่อให้ใช้เป็นจุดหมายตา หรือบ่งบอกเขตกระทำพิธีกรรมบางอย่าง เช่น แหล่งฝังศพ และมีที่ซับซ้อนขึ้นเช่นการสลักให้เป็นรูปคล้ายภาชนะ เช่นไหหินที่พบในทุ่งราบบนภูเขาทางตอนเหนือของลาว ซึ่งลักษณะแบบนี้นักวิชาการเรียกรวมกันว่า วัฒนธรรมหินตั้ง
ร่องรอยของวัฒนธรรมหินตั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตภูเขาสูงทางตอนเหนือของไทยและลาว เช่นหินตั้งแถบ จ.พะเยา อันน่าจะสัมพันธ์กับทางเชียงขวาง หัวพันและซำเหนือของลาว และเกี่ยวเนื่องลงมาสู่กลุ่มเพิงหิน-หินตั้งที่ภูพระบาท อุดรธานี ซึ่งมีร่องรอยของการนับถือภูเขาศักดิ์สิทธิ์และสร้างหินตั้งไว้ใช้ในพิธีกรรมตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์จนกลายมาเป็นใบเสมาในวัฒนธรรมทวารวดีราว พ.ศ.1300-1400 แล้วแพร่กระจายไปทั่วทั้งภาคอีสาน ก่อนที่จะกลายลงมาเป็นใบเสมาที่ปักอยู่รอบอุโบสถเมื่อเข้าสู่สมัยสุโขทัย-อยุธยาในลุ่มน้ำเจ้าพระยาภาคกลาง
หินตั้งที่เทือกเขาหลังเมืองอู่ทองจึงน่าจะเป็นหลักฐานความต่อเนื่องในความเชื่อเรื่องภูเขาศักดิ์สิทธิ์-หินตั้งที่สืบต่อจากช่วงก่อนประวัติศาสตร์ลงมาถึงสมัยที่ผู้คนรับศาสนาจากอินเดียแล้วเช่นเดียวกับที่พบในพื้นที่อื่นๆดังที่กล่าวมา แสดงว่าคตินี้เป็นที่ยอมรับของผู้คนผ่านกาลเวลายาวนานและกว้างขวาง

เพิงหินและหินตั้งล้อมแสดงเขตพิธีกรรมบนภูพระบาท อันเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีพื้นที่ใช้งานมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์

โบราณสถานที่ใช้หินก่อซ้อนกันเป็นแท่น หนึ่งในรูปแบบวัฒนธรรมหินตั้งที่พบบนเขาพุหางนาค ใกล้เมืองโบราณอู่ทอง

ซากสถูปสมัยทวารวดีก่อด้วยอิฐที่ถูกขุดรื้อทำลายบนเขาพุหางนาค ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันกับโบราณสถานหินตั้ง บ่งว่าแนวเทือกเขานี้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเมืองอู่ทอง อาจตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนกระทั่งถึงสมัยที่พุทธศาสนาเข้ามายังแถบนี้