วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง



เมืองอู่ทอง ปัจจุบันอยู่ที่อำเภออู่ทอง เป็นเมืองเก่า ที่มีชื่อปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า พระเจ้าอู่ทองทรงอพยพผู้คนหนีโรคห่า จากเมืองอู่ทองเมื่อปี พ.ศ.1890  ไปสร้างเมืองหลวงใหม่คือ กรุงศรีอยุธยา ต่อมาได้มีการขุดค้นหาหลักฐานที่เมืองอู่ทอง แล้วลงความเห็นว่า  เมืองนี้เป็นเมืองเก่าก่อนกรุศรีอยุธยาและร้างไปนานนับร้อยปี ก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะสร้างกรุงศรีอยุธยา จึงเชื่อกันว่าพระเจ้าอู่ทองน่าจะไม่ได้หนีโรคห่าดังที่กล่าวไว้.....
  
ปริศนาของเมืองโบราณอู่ทอง ที่ยังต้องค้นหาคำตอบ อันเป็นที่มาของ โครงการ "อู่ทอง อู่อารยธรรมโบราณ" ที่ควรค่าแก่การเรียนรู้
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง
    ติดกับที่ว่าการอำเภออู่ทอง เป็นสถานที่รวบรวมศิลปะวัตถุในสมัยต่าง ๆ  ที่ขุดค้นพบแสดงถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ยุคสมัยต่าง ๆ ที่เคยอาศัยอยู่ในดินแดนแถบสุพรรณบุรี  มีหลักฐานการขุดพบลูกปัดซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่พบที่เมืองออกแก้ว ประเทศเวียตนาม โดยนาย หลุยส์ มาเลอเรท์ (Louis Mallaret)
พิสูจน์ว่าเป็นลูกปัดสมัยฟูนัน  มีอายุประมาณ 1800 ปี เครื่องมือเครื่องใช้สมัยหินใหม่ถึงสมัยสัมฤทธิ์  พระพุทธรูป สมัยทวารวดี ฯลฯ และเป็นสถานที่รวบรวมลูกปัดสมัยทวาราวดี แบบต่างๆมากมาย
    ปัจจุบันได้พัฒนาปรับปรุงรูปแบบการจัดแสดงใหม่หมด และการนำเสนอ ด้วยเทคนิคที่ทันสมัยและน่าสนใจในการค้นคว้าหาความรู้

เมืองโบราณอู่ทอง  
   ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจระเข้สามพัน ลักษณะเป็นรูปวงรีขนาด 1,850 x 820 เมตร   มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ทิตะวันตกเป็นเทือกเขารางกะปิด เขาคำเทียม และเขาพระ   ทิศตะวันออกเป็นที่ราบกักเก็บน้ำนอกเมืองมีแนวคันดินเป็นถนนโบราณ เรียกว่า ถนนท้าวอู่ทอง  และแนวคันดินรูปเกือกม้า เรียกว่า คอกช้างดิน  คงจะเป็นเพนียดคล้องช้างโบราณ หรือสระเก็บน้ำในศาสนาพราหมณ์   เมืองโบราณแห่งนี้มีร่องรอยการอยู่อาศัยของชุมชน มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย อายุราว 2500-2000 ปีมาแล้ว  ได้พบ เครื่องมือหินขัด ภาชนะดินเผา แวปั่นด้ายดินเผา เป็นต้น   ต่อมาได้พัฒนาตนเองสู่สังคมเมืองสมัยประวัติศาสตร์ ทำการติดต่อค้าขาย
กับชาวต่างชาติ  ในราวพุทธศตวรรษที่ 5-9 เช่น เวียดนาม จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรป  มีบทบาทเป็นศูนย์กลางทางการค้า  และเมืองท่าร่วมสมัยกับเมืองออกแก้ว ของประเทศเวียดนาม  ได้พบลูกปัดแก้ว และเหรียญกษาปณ์ เหรียญโรมันสมัยจักรพรรดิวิคโตรินุส เป็นต้น   ได้รับรูปแบบทางศาสนา ศิลปกรรมแบบอมราวดีจากอินเดีย ได้พบประติมากรรมดินเผารูปพระสงฆ์ 3 องค์อุ้มบาตร และพระพุทธรูปปูนปั้นนาคปรก
ศิลปะแบบอมราวดี เป็นต้น
   ศาสตราจารย์ชอง บวสเซอริเยร์ เชื่อว่าเมืองอู่ทองน่าจะเป็นราชธานีแห่งอาณาจักรสุวรรณภูมิ ที่พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ส่งพระสมณฑูตเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา  เมื่อ พ.ศ. 270-พ.ศ. 311  นายพอล วิทลีย์  เชื่อว่าเมืองจินหลิน ตั้งอยู่ที่เมืองอู่ทอง เป็นรัฐสุดท้ายที่พระเจ้าฟันมัน แห่งอาณาจักรฟูนันปราบได้ ในพุทธศตวรรษที่ 9  เมื่ออาณาจักรฟูนันล่มสลายลง ใน
ปลายพุทธศตวรรษที่ 11  รัฐทวารวดีได้เจริญขึ้นมาแทนที่ ในรุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง และรุ่งเรืองสูงสุดในราวพุทธศตวรรษที่ 11-16  บันทึกของพระภิกษุเหี้ยนจัง ได้กล่าวถึงอาณาจักรโตโปตี้ หมายถึงทวารวดี  ได้พบเหรียญเงินจารึกว่า “ศรีทวารวดี ศวรปุณยะ”  ยืนยันการมีตัวตนของอาณาจักรทวารวดี  มีเมืองอู่ทองเป็นเมืองหลวง และศูนย์กลางทางศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ และวัฒนธรรมทวารวดี  ประชาชนนับถือศาสนาพุทธลัทธิเถรวาทเป็นหลัก ใช้ภาษามอญ ยึดถือคติทางศาสนา รูปแบบศิลปคุปตะจากอินเดีย โบราณสถาน โบราณวัตถุที่พบในเมืองอู่ทอง  เป็นศิลปกรรมสมัยทวารวดี เช่น เจดีย์เศียรพระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปปางประทานธรรม ธรรมจักร  ในขณะเดียวกันศิลปศรีวิชัยซึ่งนับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายานได้เผยแพร่เข้ามา ได้พบพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร และพระโพธิสัตว์ปัทมปาณิ เป็นต้น  เมืองอู่ทองได้หมดความสำคัญ และร้างไปในราว พุทธศตวรรษที่ 16  จึงรอดพ้นจากอิธิพลเขมรในราวพุทธศตวรรษที่ 16 (สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7) โดยปรากฎเมืองโบราณสุพรรณบุรีเจริญขึ้นมาแทนที่
ที่มา: จากเอกสาร สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 2 สุพรรณบุรี

อาณาจักรทวารวดี
   คำว่า “ทวารวดี” ปรากฏในบันทึกการเดินทางของหลวงจีนว่า “โตโลโปตี”และเหรียญเงินโบราณที่พบที่จังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี และลพบุรี เป็นภาษาสันสกฤตว่า “ศรีทวารวดี ศวรปุณยะ” แปลว่า บุญของพระผู้เป็นเจ้าแห่งทวารวดี ศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีอยู่บริเวณภาคกลางของไทยสันนิษฐานว่าอาจอยู่ที่เมืองนครปฐมโบราณ หรือเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี หรือเมืองลพบุรี เชื่อว่าเจริญ รุ่งเรืองในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 และเสื่อมลงราวพุทธศตวรรษที่ 16 อาจเกิดจากแม่น้ำเปลี่ยนทิศทางเดินทำให้ต้องมีการอพยพไปอยู่ที่อื่น และเมื่อเขมรแผ่อิทธิพลเข้ามาสู่ในดินแดนภาคกลางของไทย ชาวทวารวดีรับอิทธิพลอินเดียทั้งด้านศาสนา ภาษา และศิลปกรรม แล้วแผ่ขยายวัฒนธรรมไปทั่วดินแดนต่างๆ ของไทย ชาวทวารวดีส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทและเชื่อกันว่าอาจเป็นชนชาติมอญ เพราะพบศิลาจารึกภาษามอญโบราณหลายหลักที่จังหวัดลพบุรี นครปฐม ลำพูน ซึ่งมีวัฒนธรรมแบบทวารวดีอยู่ด้วย



จากการดำเนินงานโบราณคดี พบว่า อิทธิพลทางวัฒนธรรมของอินเดียได้ผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เกิดรูปแบบทางศิลปกรรมอักษรภาษาและศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาหลัก เป็นวัฒนธรรมแบบใหม่ที่รู้จักกันว่า "วัฒนธรรมทวาราวดี" ศูนย์กลางความเจริญของสมัยทวาราวดีอยู่ที่เมืองโบราณอู่ทอง ในบริเวณลุ่มน้ำจรเข้สามพัน ตั้งอยู่บริเวณเนินดินด้านตะวันออกของเทือกเขาพระ และเขาทำเทียม ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกและทิศใต้ เป็นที่ลุ่มตัวเมือง ได้รับน้ำหล่อเลี้ยงที่ไหลมาจากเทือกเขา คือ ลำห้วยลวก และลำน้ำจรเข้สามพัน ซึ่งไหลมาทางทิศใต้ โดยเมืองโบราณมีฐานะเป็นเมืองหลวง และมีเมืองลูกหลวง คือละโว้และนครชัยศรี สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ลูกปัด และเครื่องประดับที่ขุดพบที่เมืองโบราณอู่ทอง สะท้อนถึงความมั่งคั่งของเมืองท่าชายฝั่งอื่น ๆ เมืองโบราณอู่ทอง ยังคงติดต่อกับพ่อค้าต่าง ๆ จากอินเดีย ตะวันออกกลางและโรมัน ดังหลักฐานจีนที่กล่าวถึงเมืองหลินอี่ฟูนัน ตุนชุนจินหลิน ตันตัน และพันพัน ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับที่นักเดินทางทางเรือและพ่อค้าใช้ติดต่อกับจีน

การขยายตัวทางการค้าของอินเดียซึ่งไม่สามารถซื้อหาทองคำได้จากแหล่งค้าเดิม ได้แก่ ไซบีเรีย โรมันทำให้อินเดียเพิ่มปริมาณการค้ากับ
"สุวรรณภูมิ" ใช้เรือขนาดใหญ่ที่เรียกว่า เรือโรกันเดียขนถ่ายสินค้า ความเติบโตทางเศรษฐกิจช่วยทำให้เกิดความเข้มแข็งของอำนาจรัฐ มีหลักฐานหลายประการแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรทวาราวดีมีกษัตริย์ เช่น เหรียญเงินที่มีจารึก "ศรีทวาราวดีศุวรปุณยะ" ซึ่งแปรว่า การบุญแห่งพระเจ้าศรีทวาราวดี รวมทั้งโบราณวัตถุที่เป็นเครื่องประกอบพิธีราชาภิเษกและจารึเป็นต้น การพบจารึกแผ่นทองแดงที่เมืองโบราณ สามารถยืนยันได้ว่าเมืองโบราณอู่ทองรับวิธีการเขียนอักษรของอินเดียมาปรับปรุงเป็นของตนเอง ทำให้แปลกเปลี่ยนไปจาก อักษรปัลลวะ นักภาษาศาสตร์ต้องกำหนดให้เรียกว่า "อักษรหลังปัลลวะ"

ในราวพุทธศรวรรษที่ 15 - 16 มีการเปลี่ยนแปลงของแนวชาวฝั่ง ซึ่งส่งผลกระทบถึงการคมนาคม และระบบสาธารณูปโภคของเมืองโบราณในสมัยทวาราวดีเป็นศูนย์กลางรัฐหรือเมืองหลวงของอู่ทองได้รับผลกระทบ พบว่า มีการเคลื่อนย้ายศูนย์กลางอำนาจไปบริเวณเมืองสุพรรณบุรี ปัจจุบันปรากฏร่องรอยของเมืองโบราณที่มีคูน้ำคันดินคร่อมแม่น้ำสุวรรณบุรี (แม่น้ำท่าจีน) จากหลักฐานที่ได้ในงานโบราณคดี พบว่าพุทธศตวรรษที่ 17-18 เมืองโบราณบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี ได้เป็นเมืองหลวงที่สำคัญของบรรดาเมืองโบราณในซีกตะวันตกของลุ่มน้ำเจ้าพระยา และติดต่อค้าขายกับจีนอย่างใกล้ชิด มีความสำพันธ์กันในระดับราชวงศ์ รู้จักในชื่อ เสียน หรือ สยาม แต่เอกสารฝ่ายไทยเรียกว่า
"สุพรรณภูมิ"
รัฐสุพรรณภูมิ เป็นรัฐที่รุ่งเรืองจากการค้า นอกเหนือจากการเป็นศูนย์กลางการค้าขายนานาชนิดแล้ว รัสุพรรณภูมิ ยังผลิตเครื่องปั้นดินเผาส่งออกเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ในพุทธศตวรรษที่ 18 โดยแหล่งที่พบอยู่ไกลถึงสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีเหนือ และจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชสำนักจีน ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ได้ตราแต่งตั้งเป็น อ๋อง จากพระเจ้าจักรพรรดิของจีน ซึ่งต่อมาได้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา
รัฐสุพรรณภูมิ และ ราชวงศ์อู่ทองแห่งละโว้ ได้ร่วมกันสถาปนากรุงศรีอยุธยาในปี 1893 ได้ย้ายฐานจากบริเวณแม่น้ำสุพรรณบุรี สู่เกาะเมืองกรุงศรีอยุธยา ใช้ความรู้ความสามารถในความเป็นรัฐพาณิชย์ที่มีประสิทธิภาพอันยาวนาน นับแต่ปลายยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์สู่ยุคฟูนัน ทวาราวดี และสุพรรณภูมิ ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นรัฐนานาชาติ ศูนย์กลางการซื้อขายที่ใหญ่ที่สุดถึง 417 ปี จากข้อมูลและหลักฐานที่แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ทำให้เราทราบถึงรากเหง้าแห่งความเป็นคนไทย ชาติไทย จากถิ่นกำเนิดที่เมืองโบราณอู่ทอง และพัฒนาสู่สุวรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) กรุงศรีอยุธยา และปัจจุบันรัตนโกสินทร์ ได้บ่งบอกถึงความสูงส่งทางวัฒนธรรมชีวิต ความรู้ความสามารถของบุรุษเป็นอย่างยิ่ง

สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการแผ่นดิน แบ่งหัวเมืองต่าง ๆ เป็นจังหวัด อำเภอ และตำบล
อำเภออู่ทองจึงเกิดขึ้นมือ พ.ศ. 2448 ให้ชื่อว่า "อำเภอจรเข้สามพัน" แบ่งการปกครองออกเป็น 10 ตำบล ต่อมาทางราชการได้พิจารณาเห็นว่าอำเภอจรเข้สามพัน อยู่ในเขตเมืองโบราณที่เรียกว่า "เมืองท้าวอู่ทอง" เพื่อให้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์จึงย้ายที่ว่าการอำเภอจากหมู่บ้านจรเข้สามพัน มาตั้ง ณ บริเวณเมืองโบราณ เมืองท้าวอู่ทอง และให้เปลี่ยนชื่ออำเภอจาก "อำเภอจรเข้สามพัน" เป็น "อำเภออู่ทอง" เมื่อปี พ.ศ. 2483 สืบมาจนถึงปัจจุบัน

ที่มา:  http://uthong.suphanburi.doae.go.th/uthong1.htm



บ้านลาวโซ่ง ลานแสดงศิลปะพื้นบ้านภายในบริเวณพิพิธภัณฑ์ 
    ปัจจุบัน ลาวโซ่งได้ผสมกลมกลืนไปกับชาวพื้นเมืองแล้ว  แต่ยังคงไว้ถึงประเพณี ความเชื่อ การทำมาหากิน
การแต่งกายโดยภายในบริเวณพิพิธภัณสถานแห่งชาติอู่ทอง ได้จัดสร้างบ้านลาวโซ่งขึ้น แสดงเครื่องมือ
เครื่องใช้ประจำวันอยู่ครบครัน
    ชุมชนไทยโซ่ง
(ไทยทรงดำ) บ้านดอนมะเกลือ ตำบลสระยายโสม เป็นชุมชนไทยโซ่งกลุ่มใหญ่  เป็นแหล่งผ้าทอพื้นเมือง มีทั้งผ้าถุง ผ้าซิ่น ผ้าทอฮีสีดำ และในเขตอำเภออู่ทอง ซึ่งเป็น
อู่อารยธรรมสุวรรณภูมิ และยังมีชาติพันธุ์ 5 ชนเผ่า ซึ่งได้แก่ ไทยพื้นถิ่น ไทยจีน ไทยเวียง ไทยทรงดำ (ลาวโซ่ง) และลาวครั่ง

เกรียงไกร  ก่อเกียรติตระกูล  ข่าว   081-4359473

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น